3 Body problem ปัญหาสุดคลาสสิกของนักฟิสิกส์ สู่นิยายแลซีรีย์ไซไฟที่ชวนคนดูมางุนงงด้วยกัน
3 Body problem สร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังของ หลิว ฉือซิน นักเขียนชาวจีน เชื่อว่าเป็นชื่อที่ตั้งตามเนื้อเรื่องที่กล่าวถึงดาวดวงหนึ่งที่มีระบบดวงอาทิตย์ 3 ดวง กลายเป็นปัญหาที่ตัวละครในเรื่องต้องเข้ามาหาทางแก้ปัญหา และเป็นที่มาของชื่อดาวซานถี่ แต่ที่จริงแล้ว 3 Body problem คือปัญหาการทำนายหรือคำนวณทางฟิสิกส์ ที่เกิดขึ้นโดย ไอแซก นิวตัน เมื่อปี 1687 เขาพยายามคำนวณหาเสถียรภาพของแรงโน้มถ่วงระยะยาวโดยเฉพาะโลกและดวงจันทร์
แต่ โจฮันเนส เคปเลอร์ นักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ รวมถึงนักดาราศาสตร์ท่านอื่นในยุคนั้น ก็ได้เสนอให้มีการคำนวณการเคลื่อนที่ของ 3 วัตถุ ที่แรงโน้มถ่วงก่อกวนซึ่งกันและกัน เพราะการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ ไม่ได้มีการเคลื่อนตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์อื่นอีกด้วย (กฏของเคปเลอร์ (Kepler’s laws)) กลายเป็นโจทย์ในวงการฟิสิกส์ที่มีพยายามค้นหาโซลูชั่นในการคำนวณ ภายใต้แรงโน้มถ่วงสามวัตถุ “3 Body problem” ซึ่งใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในปี 1761
จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามสร้างสูตรในการคำนวณ หรือแบบจำลองความเป็นไปในได้ในการเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของ 3 วัตถุ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดเพราะค้นพบความเป็นไปได้ในอีกหลายทาง และไม่ใช่แค่โจทย์เรื่องแรงโน้มถ่วงของ 3 วัตถุเช่นดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ แม้แต่การคำนวณแรงโน้มถ่วงระดับอะตอมก็ยังมีปัญหาในเรื่องนี้เช่นกัน
ต่อไปนี้จะมีการสปอยเนื้อเรื่องบางส่วน
ด้านซีรีย์ก็ได้หยิบยกประเด็นนี้ให้เป็นปัญหาของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสิ่งมีชีวิต แต่ใช้ชีวิตภายใต้แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ 3 ดวง ที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าโลกเราหลายล้านปี และกำลังเดินทางมายังโลกเพื่อยึดครองในอีก 400 ปีข้างหน้า ตามคำเชิญของนักวิทยาศาสตร์หญิงชาวจีน ที่อุตริส่งคลื่นวิทยุกระจายไปทั่วจักรวาลผ่านดวงอาทิตย์เชิญมนุษย์ต่างดาวมาที่โลก ไม่กี่ปีต่อมามนุษย์ต่างดาวก็ตอบกลับ และเริ่มดำเนินการส่งสูตรในการสร้างเครื่องมือสื่อสารเสียงภาพและข้อมูล ที่ไม่ได้ผ่านระบบวิทยุแบบเดิม ทำให้สื่อสารกันได้เหมือนโทรคุยกันบนโลก
มนุษย์ต่างดาวและชาวโลกที่สมรู้ร่วมคิด ใช้วิธีการหาแนวร่วมด้วยการส่งเกมให้นักวิทยาศาสตร์เล่น แต่ตัวเกมไม่ได้ทำออกมาเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์แก้ไขปัญหา แต่ทำออกมาเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าปัญหาของมนุษย์ต่างดาวคืออะไร
ในเกมจะมีฉากหนึ่งที่ เด็กผู้หญิงเดินออกมาไปนอนกลางแดดแล้วแห้งเหี่ยวเหลือแค่ผิวหนังกับเสื้อผ้า และฟื้นคืนชีพกลับมาได้ด้วยการโยนลงไปในบ่อน้ำ จุดนี้สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ทุกกรณี แต่ความเข้าใจส่วนตัวของผมคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะทางกายภาพบางอย่างของมนุษย์ต่างดาว ที่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ด้วยการทำให้ตัวแห้งเหี่ยวแล้วฟื้นอีกครั้งเมื่อร่างกายได้รับน้ำ และอาจจะเป็นวิธีการจำศีล เพื่อเดินทางข้ามอวกาศที่กินระยะเวลายาวนานถึง 400 ปีของพวกเขาด้วย
ในเรื่องวิทยาการของเราด้อยกว่าในทุกด้าน หากเทียบเทคโนโลยีก็เหมือนเราอยู่ในยุคหินที่เพิ่งรู้จักการก่อไฟ แต่วิทยาการพวกเขาก้าวล้ำไปถึงระดับเดินทางข้ามอวกาศ แต่เมื่อเทียบอัตราความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ระหว่างโลกและมนุษย์ต่างดาว มนุษย์โลกมีอัตราความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่รวดเร็วกว่า จนอาจทำให้เวลาที่พวกเขาไปถึงเราก็จะมีอาวุธไว้ต่อกรรับมือเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาตามเก็บนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ยอมเข้าร่วม และให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นวางยาวิทยาการค้นพบต่างๆ เพื่อไม่ให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าได้ทันพวกเขา
ตอนที่ดูแล้วรู้สึกสนุกที่สุดคือตอนที่สหประชาชาติตั้งตัวแทนต่อต้านการรุกราน 3 คน พร้อมมอบอำนาจที่ไม่เคยมีผู้ใดได้มาก่อนก็คือ อำนาจในการใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีในโลกได้อย่างไม่จำกัด ตราบใดที่เป็นไปเพื่อการต่อต้านผู้รุกราน โดยทุกคนห้ามสงสัย ห้ามตั้งคำถาม ต้องทำตามที่สั่งเท่านั้น แล้วนักวิทยาศาสตร์ตัวเดินเรื่องหลักก็ดันได้รับเลือกโดยไม่รู้ตัวมาก่อน ความฮาอยู่ตรงที่เจ้าตัวบอกขอลาออกทันที ทุกคนก็ไม่ว่าอะไร แต่บอดี้การ์ด และเลขาก็ยังเดินตามอยู่ใกล้ๆ เพราะคิดว่าเป็นแผนการทำให้มนุษย์ต่างดาวที่จับตาดูอยู่ตายใจ ทุกคนในโซเซียลก็เชื่อว่าเป็นแผนการ ทั้งที่ความจริงคือเจ้าตัวอยากลาออกใจแทบขาด เพราะแค่เดินออกจากตึกก็โดนซุ่มยิงจนเกือบตาย เป็นตลกร้ายที่ทำให้เราขำได้ทั้งตอน
ในแง่ของบท ถือว่าทำออกมาได้ดี บทพูด การกระทำของตัวละคร ผลกระทบ แนวคิดในการทำงาน การแก้ไขปัญหา ทำออกมาได้ฉลาดสมกับเป็นเรื่องการต่อสู้ของนักวิทยาศาสตร์ งานภาพอยู่ในระดับมาตรฐาน ดูไม่เนียนบ้างในบางจุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอารมณ์เสียในการดู ส่วนการอธิบายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ อธิบายได้เข้าใจง่ายคนที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก (ในมุมมองส่วนตัว)
สรุปเป็นหนังแนววิทยาศาสตร์ ไซไฟ ที่ดูได้แต่ต้องทนดูช่วงต้นเรื่องนิดนึง หลังจากนั้นถึงจะสนุกกับเรื่องได้เต็มที่ มีปรัชญา แนวตัวหนังจบแบบปลายเปิด อาจจะมีภาคสอง หรือไม่มีก็ได้