ล้างรถด้วยน้ำยาล้างจาน ล้างได้ไหม ทำให้สีรถเสื่อมไวจริงหรือไม่

น้ำยาล้างรถ กับ น้ำยาล้างจาน มีส่วนผสมหลักเดียวกัน
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าน้ำยาล้างรถกับน้ำยาล้างจานนั้น มีส่วนผสมหลักเดียวกันคือสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งเป็นสารทำความสะอาดพื้นผิวโดยทั่วไปและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากผู้อ่านไม่เชื่อลองไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หยิบขวดน้ำยาล้างจาน กับ น้ำยาล้างรถ เทียบกันก็จะเห็นสารที่ชื่อขึ้นต้นด้วย Surfactant เป็นส่วนผสมหลักของทั้งสองผลิตภัณฑ์ แถมน้ำยาล้างจานบางยี่ห้อมีส่วนผสมที่ค่อนข้างเข้มข้นกว่า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะใช้น้ำยาล้างจานมาล้างรถ
น้ำยาล้างจาน นำมาล้างรถได้ แต่ น้ำยาล้างรถ นำมาล้างจานไม่ได้
หลายคนพอได้ยินว่าน้ำยาล้างจานนำมาล้างรถได้ ก็เลือกที่จะเอาน้ำยาล้างรถที่กำลังลดราคาเอามาล้างจานด้วย ในข้อนี้บอกเลยว่าไม่ได้เพราะตัวกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมระหว่างน้ำยาล้างรถกับน้ำยาล้างจานต่างกัน น้ำยาล้างจานเป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มฟู้ดเกรด หรือเป็นกลุ่มที่ใช้สำหรับเครื่องมือประกอบอาหาร สัมผัสหรือเข้าสู่ร่างกายทางใดทางหนึ่งได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ในขณะที่น้ำยาล้างรถนั้นไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มฟู้ดเกรด แม้จะมีส่วนผสมหลักเดียวกันแต่ส่วนผสมอื่นของน้ำยาล้างรถนั้นแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละยี่ห้อจะใส่เพื่อเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้น เช่นส่วนผสมของขี้ผึ้งหรือสารเคลือบผิวหลังล้างรถ สีที่ผสมในน้ำยาล้างรถอาจไม่ใช่สีผสมอาหารที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สารเพิ่มเติมเหล่านี้เป็นสารที่ไม่สามารถนำมาใช้กับเครื่องครัว หรือไม่จัดเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มฟู้ดเกรดจึงไม่สามารถนำมาใช้ล้างจานได้

น้ำยาล้างจานกัดสีรถจริงหรือไม่
ความเชื่อนี้มีที่มาจากน้ำยาล้างจานนั้นมีส่วนผสมของน้ำมะนาว และน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อเป็นกรดก็ย่อมกัดได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งเหล็ก โดยลืมไปว่าถ้าน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดกัดกร่อนได้ขนาดนั้น แล้วพวกเรารอดชีวิตจากการดื่มน้ำมะนาวโซดา โดยที่ปาก หลอดลม หลอดอาหาร จนไปถึงกระเพาะของเราไม่พัง ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร หรือคนไทยเราเป็นพวกคอทองแดงกระนั้นฤา ในอีกสายความเชื่อหนึ่งคือ น้ำยาล้างจานมีส่วนประกอบของสารทำความสะอาดที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งบางครั้งเราก็ลืมไปว่าจะเข้มข้นแค่ไหนก็ต้องผ่านมาตรฐานฟู้ดเกรด ซึ่งจะทำให้เข้มข้นเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพไม่ได้ ในขณะที่น้ำยาล้างรถไม่กำหนดความเข้มข้น น้ำยาล้างรถหลายยี่ห้อจึงสามารถกำหนดส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่มีความเข้มข้นมากกว่าได้
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องน้ำยาล้างจานกัดสีรถจริงหรือไม่ เรามาทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า สีรถ กันก่อน ในกระบวนการพ่นสีรถ ที่เราเห็นอยู่นั้นประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ ได้แก่
1.ชั้นสีรองพื้นเป็นชั้นสีพ่นเพื่อเคลือบกันสนิมเหล็กและเป็นชั้นรองพื้นให้สีจริงที่ต้องการพ่นยึดเกาะผิวได้ดียิ่งขั้น
2.ชั้นต่อมาคือชั้นสี ที่เราเห็นรถเป็นสีขาว สีแดง หรือสีอื่นๆ ก็คือสีในชั้นที่สอง นี่เอง
3.ชั้นที่สาม หรือชั้นสุดท้ายในกระบวนการผลิตคือ ชั้นแล็กเกอร์ ทำหน้าที่เคลือบสีชั้นที่สอง ไม่ให้หลุดลอก หลุดร่อน หรือมีรอยขีดข่วน ในขณะเดียวกันแล็กเกอร์ก็ทำหน้าที่ขับชั้นสีให้มีความเงางามยิ่งขึ้น ที่เราเห็นรถสวยสดใส เงางาม นั้นเกิดจากชั้นแล็กเกอร์ที่เคลือบสีรถเอาไว้นั่นเอง และเป็นอีกหนึ่ง เหตุผลว่าทำไมเมื่อเราใช้สารขัดเคลือบสี เราถึงสามารถลบริ้วรอยเหล่านั้นออกไปได้โดยที่สียังคงสดใสอยู่ เพราะเราแค่ไปลบรอยขีดข่วนบางๆ ในชั้นแล็กเกอร์นั่นเอง
4.ชั้นที่สี่ คานูบาร์ ชั้นนี้เป็นชั้นเคลือบเพิ่มเติมจากตัวผู้ใช้รถยนต์ ที่ใช้สารเคลือบธรรมชาติเช่น ขี้ผึ้ง หรือคาร์นูบาร์ เคลือบผิวแล็กเกอร์อีกครั้งให้รถดูเงางามยิ่งขึ้น คาร์นูบาร์มีองค์ประกอบของไข ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ละลายน้ำ และ เอทานอล ความคงทนต่ำ อายุความคงทนอยู่ที่ประมาณ 4-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ใช้แม้จะไม่ล้างรถ คาร์นูบาร์ก็จะเสื่อมสภาพได้เอง

คราวนี้เราก็ทราบกันแล้วว่าพื้นผิวสีรถชั้นบนสุดที่เราสัมผัสอยู่นั้นเป็นสารแล็กเกอร์ หรืออาจจะเป็นสารเคลือบสีรถที่ผู้ใช้ซื้อมาขัดเคลือบด้วยตัวเอง แต่หลักๆ แล้ว สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือชั้นแล็กเกอร์ เพราะเป็นชั้นปกป้องชั้นสีรถที่มีความสำคัญตลอดอายุการใช้งานมากที่สุด ในขณะที่คาร์นูบาร์นั้น เป็นสารเคลือบที่มีแรงยึดเกาะต่ำ มีอายุความคงทนไม่กี่สัปดาห์ แค่ใช้น้ำแรงดันสูง และใช้ฟองน้ำเช็ดถูสารเคลือบเหล่านี้ก็พร้อมจะหลุดออกจากชั้นแล็กเกอร์ของรถทันที สามารถสังเกตได้จากผิวสัมผัสก่อนล้างรถและหลังล้างรถด้วยน้ำยาล้างรถเอง ความลื่นมันเงาของสารเคลือบผิวที่คุณเคยขัดเอาไว้นั้นหายไปอย่างง่ายดาย โดยไม่เกี่ยวข้องกับน้ำยาล้างจานเลยด้วยซ้ำ
คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับแล็กเกอร์ซึ่งเป็นสารเคลือบชั้นสีรถที่มีความสำคัญที่สุดกันอีกนิด แล็กเกอร์คือสารเคลือบผิว ที่มีคุณสมบัติในการเคลือบพื้นผิวได้เกือบทุกประเภทตั้งแต่เหล็ก พลาสติก ไม้ หรือพื้นผิวอื่นๆ ที่ต้องการ เป็นสารระเหยไว สารที่สามารถทำละลายแล็กเกอร์ได้ดีก็คือสารที่มีส่วนประกอบของ ทินเนอร์ คีโตน อีเทอร์ เอสเตอร์ และแอลกอฮอลล์ สารเคมี หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารที่กล่าวมานี้ ห้ามสัมผัสกับสีรถเพราะจะทำให้เกิดรอยด่างจนไปถึงชั้นแล็กเกอร์และชั้นสีหลุดร่อน เช่น น้ำมันเบรกมีสารเคมีประเภท อีเทอร์ ซึ่งมีฤทธิ์ความเป็นกรดสูงเป็นส่วนผสมเป็นต้น
ในขณะที่น้ำยาล้างจานในปัจจุบันนั้นมีการปรับสูตรให้มีความเป็นกลาง ไม่เป็นกรดและด่าง จึงไม่มีคุณสมบัติในการทำลายชั้นแล็กเกอร์ ทำให้สีรถหมอง แต่มีคุณสมบัติชำระล้าง ชั้นสารเคลือบผิวเช่นคาร์นูบาร์ หรือ แวกซ์ ที่เจ้าของรถเคลือบเอาไว้ ซึ่งมีส่วนประกอบของไขมันได้อย่างดี ซึ่งเราจะพูดกันในหัวข้อถัดไป แต่ขอสรุปในหัวข้อนี้อีกครั้งว่า น้ำยาล้างจานไม่ได้ทำให้ชั้นแล็กเกอร์เคลือบสีรถเสื่อมสภาพอย่างแน่นอน

ใช้น้ำยาล้างรถ หรือ น้ำยาล้างจาน ล้างรถดีกว่ากัน
สุดท้ายก็มาถึงคำถามที่ว่าเราจะใช้น้ำยาล้างรถ หรือ น้ำยาล้างจาน ล้างรถดีกว่ากัน คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งานเป็นหลักว่า มีพฤติกรรมการใช้งานรถอย่างไร ไม่มีคำตอบตายตัวว่าน้ำยาล้างรถดีกว่าหรือน้ำยาล้างจานดีกว่าเพราะสุดท้ายแล้วน้ำยาทั้งสองชนิด ก็สามารถล้างรถให้สะอาดโดยไม่เป็นอันตรายต่อชั้นแล็กเกอร์ และชั้นสีจริงของรถ ในขณะที่ชั้นเคลือบคาร์นูบาร์นั้น ไม่ใช่ชั้นเคลือบถาวรที่เราต้องกังวลเพราะสามารถขัดเคลือบได้ใหม่เท่าที่ต้องการ
1.ถ้าชื่นชอบการขัดเคลือบสีรถหลังล้างรถทุกครั้ง คุณสามารถใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างรถเพี่อทำความสะอาดผิวรถให้สะอาด แล้วลง คานูบาร์ เคลือบสีรถเพื่อความเงางามได้
2.ถ้าอยากให้รถเงางามจากการขัดเคลือบสีด้วยคาร์นูบาร์ แต่ไม่มีเวลาขัดเคลือบ แนะนำให้ใช้น้ำยาล้างรถที่มีสารเคลือบสีรถในตัวจะสะดวกจะทำให้รถดูใหม่สะอาดหลังล้างรถทันที
3.หากรถคุณมีคราบสกปรกฝังแน่น เช่นคราบโคลน คราบฝุ่น ขี้นก คราบน้ำมัน และสิ่งสกปรกอื่น น้ำยาล้างจานเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับการล้างรถในครั้งนั้น
สาเหตุที่ทำให้สีรถหมองและเสื่อมสภาพมากที่สุด
สาเหตุที่ทำให้สีรถเสื่อมสภาพมากที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งคุณอาจจะสังเกตเห็นรถคันอื่นที่มีชั้นแล็กเกอร์ฝากระโปรงรถ หลังคารถ และฝากระโปรงท้ายรถหลุดร่อน สีซีดจาง โคมไฟหน้ารถเหลือง ความเสื่อมสภาพเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากน้ำยาล้างจาน และน้ำยาล้างรถ แต่เกิดจากอายุการใช้งานที่ขาดการทะนุทะนอมดูแล ด้วยการนำรถจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน และความร้อนสะสมจากการใช้งานเช่น สีฝากระโปรงรถซีดจางเพราะความร้อนจากห้องเครื่อง โคมไฟเหลืองจากแสงแดดและความร้อนในตัวระหว่างใช้งาน

ดังนั้นการดูแลรถที่ดีที่สุดคือ เลี่ยงการจอดรถตากแดดหรือจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน หากเลี่ยงไม่ได้ควรมีผ้าคลุมรถที่ป้องกันรังสียูวีเพื่อยืดอายุชั้นสีของรถคุณให้ดูใหม่อยู่เสมอ ในกรณีที่คุณล้างรถด้วยน้ำยาล้างจาน ควรตามการแว็กซ์เคลือบผิวชั้นแลคเกอร์อีกชั้นหนึ่งทุกครั้งหลังล้างรถ จะช่วยทำให้คุณล้างรถครั้งต่อไปง่ายขึ้น และรถยังเงางามเหมือนใหม่อยู่เสมอ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาขัดเคลือบด้วยตัวเองการเลือกน้ำยาล้างรถที่มีส่วนผสมของแว็กซ์ ก็จะช่วยประหยัดเวลาขัดเคลือบไปได้ 1 ขั้นตอน แม้จะไม่อยู่คงทนเหมือนกับการลงแว็กซ์จริงก็ตาม