https://siamo.pmi.or.id/repository/ https://jsfk.ffarmasi.unand.ac.id/admin/kuda-lari/ https://masyarakatdigital.uinjambi.ac.id/ https://kecamatanbanjaran.bandungkab.go.id/public/pacar/ https://ffarmasi.unand.ac.id/pzeus/ https://ffarmasi.unand.ac.id/kbet/ kentangbet https://asset.inaba.ac.id/pacarzeus/ https://mbkm.inaba.ac.id/ https://pusatbisnis.uinjambi.ac.id/ https://www.tpia.org/images/kentangbet/ https://huahinpocketguide.com/wp-content/wops/ https://leading-power.com/ https://scidictplus.com/rs/ https://arf-int.org/tag/ https://www.appa-es.com/xampp/ https://www.babykissthailand.com/ https://simas.unand.ac.id/storage/ http://webuildapps.comvigo.com/ https://mbkm.inaba.ac.id/kentang/ https://evoting.unesa.ac.id/ https://bios.unesa.ac.id/kentang/ https://www.triglobalmandiri.com/ slot gacor hari ini
โหราศาสตร์ จากกรีก-บาบิโลเนียน ถึง สยาม - Readspread.com

Readspread.com

News and Article

โหราศาสตร์ จากกรีก-บาบิโลเนียน ถึง สยาม

จุดเริ่มต้นของโหราศาสตร์นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่นักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐาน ไว้อยู่ 2 ที่คือ เมืองบาบิโลน หรืออาณาจักรบาบิโลเนียน หรืออีกชื่อหนึ่งคือเมโสโปเตเมียโบราณในยุค 2,000 ปีก่อนคริสตกาล (นักประวัติศาสตร์ยางสำนักเชื่อว่าเกิดขึ้นในยุคกรีก 3,000 ปีก่อนคริสตกาล) ในยุคนั้นโหราศาสตร์เป็นที่แพร่หลายแถบยุโรปตะวันออก ไปจนถึงยุโรปตะวันตกและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันในฐานะวิชาแห่งการสื่อสารกับเทพเจ้า
โหราศาสตร์ ดวงดาว

โหราศาสตร์ ดวงดาว

เมื่อมองในแผนที่โลก เหนือกรุงบาบิโลนขึ้นไป เราจะเห็นเทือกเขาคอเคซัส เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอารยันหรือชนเผ่าอริยกะ ชนเผ่าซึ่งเป็นต้นกำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ชนเผ่านี้เป็นผู้ได้เรียนรู้และศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาจากบาบิโลนและกรีก เมื่อครั้งที่ชนเผ่าอารยันอพยพเดินทางมายังประเทศอินเดีย ก็ได้นำวิชาความรู้ที่เรียกว่าคัมภีร์พระเวท ที่มีวิชาโหราศาสตร์รวมอยู่ในนั้น ขอให้ผู้อ่านจำไว้ว่าเมื่อมี พราหมณ์-ฮินดู คัมภีร์พระเวทและวิชาโหราศาสตร์จะเข้ามามีอิทธิพลในประเทศ และช่วงเวลานั้นอย่างมิต้องสงสัย

ชนเผ่าอารยันนี้ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งองค์ความรู้แห่งโลกตะวันออก ชนเผ่าอารยันไม่ใช่ชนเผ่าป่าเถื่อน แต่จัดว่าเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมสูงในระดับหนึ่ง  ถึงขนาดสามารถสร้างบ้านเมือง และแบ่งกลุ่มชนชั้นการปกครอง และเมื่อขึ้นปกครองชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมีสีผิวเข้มกว่าตน จึงมีการแบ่งชนชั้นเพื่อป้องกันการผสมทางสายเลือด เป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร โดยคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ จะสืบทอดเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายพราหมณ์ (ชาวอารยัน) เท่านั้น พราหมณ์จึงเป็นผู้มีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์และพระเวทมากที่สุด ซึ่งพราหมณ์นี้เป็นเชื้อสายที่มีอิทธิพลกับชนชั้นกษัตริย์ในแถบอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงปัจจุบัน

จากหนังสือเรื่อง อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ต่ออารยธรรมไทย เขียนโดยศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้บอกเล่าเรื่องราวของศาสนาพราหมณ์ในดินแดนสุวรรณภูมิไว้ว่า ในดินแดนแถบนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้น 2 ศาสนาก็คือ ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ที่มีอิทธิพลอย่างมากกับศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆ

โดยศาสนาพุทธได้เข้ามายังดินแดนนี้ก่อนในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 6 พระเจ้ากนิษกะ ผู้ซึ่งทรงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้ส่งสมณทูตไปเผยแพร่พุทธศาสนามาถึงอาณาจักรศรีวิชัย เกาะสุมาตรา และแหลมมลายูรวมทั้งประเทศไทย และอยู่เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 17 และจากประเทศไทยภาคใต้นิกายมหายานได้แผ่ขึ้นมาถึงประเทศไทยภาคกลาง และแผ่ออกไปถึงกัมพูชา

มีหลักฐานการลงหลักปักฐานก็คือพระพุทธรูปศิลาตามคติมหายานซึ่งพบได้ที่จังหวัดนครปฐม จึงเป็นหลักฐานชั้นสำคัญว่า พุทธศาสนานั้นลงหลักปักฐานในแดนสุวรรณภูมิก่อนศาสนาพราหมณ์ และภาคใต้ก็ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่แรกในดินแดนที่พุทธศาสนาได้ลงหลักปักฐานไว้

ในขณะที่พุทธศาสนาทางภาคเหนือโดยเฉพาะสุโขทัยนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรมอญ หรือรามัญเทศะ ระยะเวลาที่เข้ามา หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ท่านคาดว่าน่าจะเป็นราวๆ พุทธศตวรรษที่ 16 และครอบคลุมไปทั้งประเทศ ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งจะเห็นได้จากหลักศิลาจารึกของสุโขทัย เป็นพยานบ่งชัดในเรื่องพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย และตามหลักฐานก็ไม่ปรากฏว่าในยุคสุโขทัยจะได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์แต่อย่างใด จึงยังไม่มีการใช้พราหมณ์ในราชสำนัก และวิชาโหราศาสตร์ก็ยังไม่เป็นที่พูดถึง

ด้านศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นิกายวิษณุเวทตรงเข้ามาสู่ประเทศกัมพูชาประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 หรือที่ 7 เข้ามาภายหลังศาสนาพุทธ ไม่นานมากนักแต่พราหมณ์นั้นมีอิทธิพลกับลัทธิเทวราชของเขมร ซึ่งมีอิทธิพลอยู่เฉพาะในราชสำนัก และในระบอบการปกครอง (เสริมจากผู้เขียน ตามหลักฐานชั้นสำคัญ ที่ยืนยันได้ว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามีอิทธิพลกับทางกัมพูชาก่อนราชสำนักไทย ก็คือ เรื่องของตัวเลขการนับเลข 0-9 ซึ่งเป็นองค์ความรู้พื้นฐานด้านการคำนวณดาราศาสตร์ที่มีมาก่อนสยาม) โดยพราหมณ์ได้เข้ามาให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่มหากษัตริย์พื้นเมือง โดยแต่งตั้งพระมหากษัตริย์ ขึ้นเป็นพระวิษณุ หรือ พระศิวะตามคติฮินดู

(จากผู้เขียน ในจุดนี้จะเห็นได้ว่า เขมร ได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์พระเวทก่อนดินแดนอื่นในสุวรรณภูมิ มีการใช้มนต์คาถา ดัดแปลงจากพระคัมภีร์ และเป็นมนต์เขมร หรือที่เรียกว่าหมอผีเขมร พิธีกรรม มนต์คาถา อักขรยันต์เขมร ที่ดัดแปลงมาจากภาษาสันสกฤต และอีกหลายอย่างนั้น มีจุดเริ่มต้นจากคัมภีร์พระเวทและโหราศาสตร์ เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิชาโหราศาสตร์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนตร์และพิธีกรรม เพียงแต่ในปัจจุบัน โหราศาสตร์ในประเทศไทย แทบไม่ได้ใช้มนต์คาถาของพราหมณ์ ในการทำพิธีกรรมต่างๆ แต่ใช้บทสวดในพระพุทธศาสนาเขามาแทนเช่น การสวดระหว่างการลงอักขระในยันต์พิชัยสงครามเป็นต้น)

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ พันจันทนุมาศ ได้เริ่มด้วยการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อจุลศักราช 712 หรือ พ.ศ. 1893 มีบันทึกว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาเสวยราชสมบัติ ชี พ่อพราหมณ์ ถวายพระนามชื่อ สมเด็จพระรามาธิบดี (พระเจ้าอู่ทอง) แล้วบอกถึงเมืองประเทศราช 16 เมือง มีข้อความว่า

“แล้วให้ขึ้นไปเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวรลงมาแต่เมืองลพบุรีทรงพระกรุณาตรัสว่าขอมแปรพักตร์จะให้ออกไปกระทำเสีย” ความข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าสมเด็จพระรามาธิบดี ทรงเป็นเจ้าใหญ่เหนือขอมหรือเขมรอยู่แล้ว ในขณะที่สร้างกรุงศรีอยุธยา มิฉะนั้นจะตรัสขึ้นมาเฉยๆว่า “ขอมแปรพักตร์” ไม่ได้

ความเห็นของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช ได้ให้ไว้ว่าพระเจ้าอู่ทองนั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยตั้งอยู่ในราชธรรมของไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายหินยานเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อทรงได้พระราชอำนาจเหนือเขมร อันมีลัทธิการปกครองแบบเทวราช และคุ้นเคยอยู่กับลัทธินั้น ก็ย่อมจะต้องทรงรับลัทธินั้นมาไว้ในพระองค์เพื่อความราบรื่นในการใช้พระราชอำนาจปกครองต่อไป และเมื่อเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ทรงย้ายศูนย์ของลัทธิเทวราชนั้นมาไว้ที่กรุงศรีอยุธยาในการนี้ก็ต้องตั้งขนบธรรมเนียมประเพณีขึ้นใหม่มากมายหลายประการ จึงเป็นหนทางที่ศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ที่พระนครหลวงได้เข้ามามีอิทธิพลในกรุงศรีอยุธยาและต่ออารยธรรมไทยโดยทั่วไป

เมื่อพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทรงเป็นเทวราช ปราสาทราชวังก็ต้องเป็นแบบเทวสถาน ยกยอดและออกแบบให้เหมือนเขาพระสุเมรุ และก่อด้วยอิฐ แต่ต่างกับเรือนจันทร์ทำด้วยไม้ อันเป็นที่เคยประทับของพระเจ้าแผ่นดินไทยมาแต่ก่อน ในราชสำนักก็ต้องเลียนแบบเทวสถาน มีพราหมณ์จำนวนมากเข้ามาทำหน้าที่ประจำต่างๆ แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์เองก็ต้องประทับอยู่ในที่ที่คนเห็นได้ยาก เหมือนพระผู้เป็นเจ้า และมีกฎมนเทียรบาลคอยบังคับพระราชกรณียกิจประจำวัน จะทรงกระทำเช่นสามัญชนที่เป็นมนุษย์ไม่ได้

ในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยานี่เอง ได้เริ่มมีการนำเอาหลักของศาสนาพราหมณ์เข้ามาใช้ในหลายอย่าง  ชื่อตำแหน่งต่างๆ ที่เคยเป็นคำไทยก็เปลี่ยนเป็นคำภาษาสันสกฤต เช่น “ขุนคลัง” ก็ให้เป็น “โกษาธิบดี” “ขุนวัง”ให้เป็น “ธรรมาธิกรณ์” การมีตำแหน่งพระยาโหราธิบดี  เป็นจุดเริ่มต้นของการรับวัฒนธรรมต่างๆ ของศาสนาพราหมณ์เข้ามามากมาย เช่น การมีพระราชพิธีต่างๆ การกำหนดวันมหาสงกรานต์ขึ้นปีใหม่ ตามปฏิทินสุริยยาตร์ก็เริ่มต้นในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ด้วยความที่คนไทยส่วนใหญ่ยังคุ้นชินกับระบบปฏิทินจันทรคติของศาสนาพุทธ วันสำคัญทางศาสนาพุทธจึงยังต้องใช้ปฏิทินจันทรคติอยู่ และด้วยหลักวิชาโหราศาสตร์ ตามคัมภีร์สุริยยาตร์แลมานัต นั้นยังคงใช้กันอยู่ในวงจำกัดเช่น พราหมณ์ ชนชั้นพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาโชติยศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์จะต้องเรียนรู้ ไม่ได้แพร่หลายเฉกเช่นในปัจจุบัน

ดวงเมืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ท่านก็เป็นผู้ทรงวางฤกษ์ดวงเมืองด้วยพระองค์เอง เวลาผ่านมาถึงสมัย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในช่วงนั้นประเทศไทยมีการเปิดการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น มีการรับเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับทางด้านดาราศาสตร์กับต่างประเทศ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้ส่งมีพระราชดำริ ปรับปรุงองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์ การนับวัน เวลา ปฏิทินของประเทศไทย ได้มีพระราชดำริ ริเริ่มการคำนวณเวลาในประเทศไทย ให้ทัดเทียมกับต่างชาติ จึงสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนย เป็นหอนาฬิกาบอกเวลา โดยสร้างเป็นตึกทรงยุโรปสูง 5 ชั้น ชั้นยอดเป็นนาฬิกาใหญ่ 4 ด้าน สำหรับบอกเวลา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2394 โดยใช้หลักการคำนวณเวลาในมุมทางดาราศาสตร์ หรือระบบเวลาดาราคติ (Sidereal time system) และหลักการสังเกตช่วงเวลาปรากฏ (Apparent time)

หอบอกเวลานี้ใช้เป็นที่สังเกตุการณ์การปรากฏของแสงเงิน แสงทอง ริมขอบฟ้าของพระอาทิตย์ และ สังเกตการณ์พระจันทร์ เพื่อปรับเวลาท้องถิ่นให้มีความถูกต้องแม่นยำ จึงมีพนักงานนาฬิกาหลวง 2 ตำแหน่งคือ “พันทิวาทิตย์” คอยเทียบเวลากับพระอาทิตย์ และ “พันพินิตจันทรา” เทียบเวลากลางคืนจากพระจันทร์และดวงดาวอื่นๆ

จากการริเริ่มดังกล่าวจึงเกิดเป็นเวลามาตรฐานประเทศไทยที่ชื่อว่า เวลามาตรฐานกรุงเทพปานกลาง (Bangkok mean time: BMT) ซึ่งไม่อ้างอิงกับมาตรฐานเวลาสากล ส่งผลให้การคำนวณปฏิทินโหราศาสตร์ 100 ปี ทั้งหมดในประเทศไทย ใช้หลักการคำนวณโดยอ้างอิงคาบเวลา จากมาตรฐาน BMT เป็นฐานในการคำนวณ การเคลื่อนที่ของดาวในระบบสุริยยาสตร์จนถึงปัจจุบัน และทรงใช้องค์ความรู้การเคลื่อนที่ของดาว จากหอดูดาว รวมกับสูตรการคำนวณและเครื่องมือที่พระองค์ท่านคิดค้นขึ้นเอง นำมาคำนวณการเกิดสุริยุปราคา ที่หว้ากอ พ.ศ.2411 ทรงชำระระบบการบอกเวลาของไทยจากการบอกเวลาทุ่มโมงอย่างหยาบ มาเป็นนาฬิกาที่มีความแม่นยำทันสมัยตามยุโรป และชำระวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า “ปฏิทินปักขคณนา” ใช้ในธรรมยุติกนิกาย

จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 2 /2562 ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ว่า ทรงเป็นพระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย ให้โหรคำนวณสอบสวนดูดวงชะตาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นดวงชะตาวันประสูติ วันตรัสรู้ และปรินิพพาน สำหรับจารึกแผ่นศิลาบรรจุพระเจดีย์ โดยใช้คัมภีร์สุริยยาตร์และมานัตต์ในการคำนวณ ให้อัญชนะศักราช ซึ่งพระอัยกาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งไว้ เมื่อศักราชกลียุคได้ 2411 ก่อนพุทธศักราช 147 ปี โดยทั้งสามพระชะตานั้นพบในกรอบไม้ปิดทองมีเลข 5 ในกรอบวงกลมด้านบนเขียนสีเดินเส้นทองบนแผ่นหินอ่อนสีขาว ประดิษฐานอยู่เบื้องขวาขององค์พระพุทธชินราชจำลอง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และทรงให้ข้าราชการทุกคนฝึกเรียนวิชาโหราศาสตร์ เป็นการฝึกเรื่องการคำนวณไปในตัว ใครคิดได้เร็วและถูกต้องแสดงว่าฉลาดมีความสามารถ

ในแง่มุมของการเผยแพร่ตำราโหราศาสตร์ที่อยู่ในคัมภีร์พระเวทนั้น ส่วนหนึ่งได้มีทูตฝรั่งเศสนำไปแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและกลับมาแปลเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่งในสมัยอยุธยา อีกส่วนหนึ่งสันนิษฐานว่าได้มาจากการเปิดหอพระสมุดส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 5 ก็คือหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร (ต่อมาได้มีการเปลี่ยนสถานที่ในรัชกาลที่ 6 และกลายเป็นหอพระสมุดแห่งชาติ)  ซึ่งแต่เดิมนั้นหอสมุดเหล่านี้เปิดไว้ให้เฉพาะเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ใช้ แต่เมื่อเปิดให้ประชาชนเข้าใช้ ก็ได้เป็นความรู้เผยแพร่สู่ประชาชนทั่วไปได้ศึกษา และกลายเป็นวิชาการทำนายดวงชะตาที่แพร่หลายจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดีในปัจจุบันรูปแบบการคำนวณโหราศาสตร์ในประเทศไทย ไมได้มีเพียงแค่ระบบปฏิทินสุริยยาสตร์ ที่ใช้หลักการคำนวณแต่โบราณ ยังมีระบบการคำนวณใหม่เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือระบบการคำนวณแบบลาหิรี (Lahiri) ระบบการคำนวณแบบลาหิรี นั้นเกิดขึ้นในสมัยที่อินเดียเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในช่วงเวลานั้นได้มีกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปปฏิทินให้มีความทันสมัยเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ โดยมีคณะผู้ร่วมปฏิรูปได้แก่นาย A.C.Banerjee, K.K.Daftari, J.S.Karandikar, Gorakh Prasad, R.V.Vaidya and N.C.Lahiri  ทีมนี้เมื่อได้ศึกษารูปแบบการคำนวณปฏิทินจนมั่นใจว่ามีความแม่นยำเที่ยงตรง ก็ได้เริ่มประกาศเริ่มใช้อย่างเป็นทางการทั่วประเทศในวันที่ 22 มีนาคม 2500 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 9 ครองราชย์ได้ 12 ปี)  เมื่อได้ปฏิทินทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว ครั้นจะถูกนำมาใช้เพื่อคำนวณในภาควิชาโหราศาสตร์ก็ต้องมีการตัดค่าอายนางศะ เพิ่มเข้าไป นาย N.C.Lahiri จึงใช้สูตรตัดค่าอายนางศะที่ 23.85 องศา เข้าไป จนเกิดเป็นรูปแบบปฏิทินโหราศาสตร์แบบลาหิรี  ซึ่งเป็นระบบการคำนวณแบบใหม่ที่เชื่อว่าตรงกับการเคลื่อนที่ดาวบนท้องฟ้ามากที่สุด (การคำนวณหาลัคนา ตำแหน่งลัคนาของลาหิรีก็แตกต่างจากสุริยยาสตร์ประมาณ 20 กว่าองศา ส่งผลให้มีตำแหน่งลัคนาต่างกัน)

นั่นหมายความว่าโหราศาสตร์ในประเทศไทยของเรานั้นมีใช้กันอยู่ 2 ระบบคือ สุริยยาสตร์ และ ลาหิรี ถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายท่านน่าจะถามว่าแล้วทำไมประเทศไทยเราไม่เปลี่ยนมาใช้ การคำนวณแบบลาหิรี เป็นมาตรฐานโดยทั่วไป เพราะเป็นการคำนวณที่ได้มาตรฐานที่สุดในปัจจุบัน เหตุผลนั้นมีอยู่หลายด้วยกันก็คือ

1.โหรพิจารณาแล้วคำนวณแบบลาหิรี ไม่ได้ตอบโจทย์ความแม่นยำในการทำนาย จึงใช้กับสุริยยาสตร์ เหมือนเดิม ( ในข้อนี้ตัวผู้เขียน ดูดวงกับหมอโย ก็ได้ทำการทดสอบแล้วและลงความเห็นว่าแบบสุริยยาสตร์นั้นมีความแม่นยำมากกว่า แต่อย่างไรก็ดี ความถนัดและความเชื่อของนักพยากรณ์แต่ละท่านนั้นแตกต่างกัน บางท่านอาจจะมีความถนัดทางลาหิรีเพราะดูแล้วแม่นยำกว่าก็เป็นได้)

2.โหรสายคำนวณปฏิทิน เห็นว่าระบบสุริยยาสตร์ของไทยเรานั้นได้มีการปรับทด เพื่อปรับตำแหน่งความแม่นยำอยู่เป็นระยะอยู่แล้ว ไม่ได้หลับหูหลับตาคำนวณดังที่สายลาหิรีกล่าวอ้าง จึงมีความแม่นยำในระดับที่น่าพอใจ แม้กระทั่งการคำนวณดาวมฤตยู และพระเกตุ ที่แต่เดิมได้ใช้ตำแหน่งตรงข้ามกับราหู ก็มีการเพิ่มปรับสูตรคำนวณดาวใหม่ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น และเริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งทางโหราศาสตร์สายภาระตะเดิมนั้นไม่มีการคำนวณในจุดนี้

3.เพื่อเป็นการรักษาองค์ความรู้ ภูมิปัญหาของไทยแต่โบราณ ให้คงไว้ตลอดไป

            อย่างไรก็ตามวิชาโหราศาสตร์ไทยนั้น มีความแตกต่างจากโหราศาสตร์ภาระตะเดิมอย่างมาก เพราะมีการดัดแปลงไปตามความเชื่อท้องถิ่นการพัฒนาสายวิชาเฉพาะตัว บางสิ่งที่ทดลองแล้วไม่มีความแม่นยำ ไม่สามารถนำมาทำนายได้ก็ถูกตัดออกและเพิ่มข้อสังเกตใหม่ๆ เข้าไปทำให้วิชาโหราศาสตร์ไทย นั้นมีการพัฒนาแยกย่อยไปอีกหลายสาย แม้มีความแตกต่างในหลักการแต่ปลายทางคือสิ่งเดียวกันคือ ชี้นำแนวทางชีวิตที่ถูกต้อง ให้รู้จักหวะของชีวิตที่แตกต่างกัน และนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน

About Post Author

ใส่ความเห็น

Copyright © Readspread.com ติดต่อฝ่ายข่าว Tel.089-922-7859 Email/Yothin.Yoojongdee@gmail.com | Newsphere by AF themes.