การกลับมาของทรัมป์ ไทยควรยืนอยู่ในจุดใด

Donald Trump / Credit: AFP
การมาของทรัมป์ในแง่เศรษฐกิจ หลายสำนักมองว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้การเติบโตเศรษฐกิจจีน และไทยหดตัวลง จากนโยบายภาษีและการกีดกันทางการค้า ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในรายชื่อที่ได้รับผลกระทบนี้ด้วย แต่ส่วนตัวผมมองว่าตอนนี้เราได้ของเข้าร่วมกลุ่มเศรษฐกิจ BRICS เป็นกลุ่มขั้วอำนาจทางการค้าใหม่ ไม่เน้นการพึ่งพายุโรปและสหรัฐ ดังนั้นผลกระทบจะไม่รุนแรงอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐเองจะมีการเติบโตขึ้นอย่างมากและมีตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงเป็นประวัติการณ์อย่างแน่นอน เพราะทรัมป์จะเน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับคนในชาติมากกว่า
ส่วนปัญหาสงคราม ยูเครนอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะทรัมป์เคยประกาศไว้ว่าไม่สนับสนุนเงินช่วยเหลือสงครามให้ยูเครน และมีแนวโน้มจะถอนตัวจากกลุ่มนาโต้ เพราะมีการใช้เงินในการทหารเกินกว่าร้อยละ 2 ของ GDP ทั้งประเทศ แต่กับอิสราเอลนั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะเรื่องเชื้อสายของทรัมป์เราก็รู้กันดีกว่ามีเชื้อสายชนชาติใด ไม่แปลกที่ทรัมป์จะสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับอิหร่าน และยกระดับสงครามให้มีความรุนแรงและจบลงอย่างรวดเร็วกว่าทึ่คิด
จากเดิมหลายคนคิดว่าสงครามโลกจะน่าจะเริ่มที่ยูเครน แต่ความจริงแล้วอาจเริ่มที่อิสราเอลและอิหร่าน ในขณะที่ยูเครนนั้นได้กลายเป็นสนามซ้อมรบของรัสเซีย และเกาหลีเหนือ ส่วนจีนได้เพิ่มความถี่ในการฝึกทหารซ้อมรบอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการรบขึ้นฝั่ง และการรบทางทะเลที่มีแนวโน้มจะปะทะกับอเมริกา และญี่ปุ่น โดยมีเกาะไต้หวันเป็นพื้นที่สนามรบ และสงครามตัวแทนของกลุ่มนาโต้ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะยั่วยุให้อีกฝ่ายเปิดฉากยิงได้ก่อน ก็จะได้สิทธิ์การทำสงครามด้วยความชอบธรรม
ส่วนไทยเราเองได้ถูกตัดงบประมาณทางการทหารอย่างต่อเนื่อง และเน้นไปที่การพัฒนาผลิตอาวุธประเทศ แม้จะด้อยกว่าแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำยาตอบโต้ผู้รุกราน สิ่งที่ไทยทำได้ในเวลานี้คือนโยบายการค้าที่แสดงจุดยืนความเป็นกลางไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะนโยบายการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่ต้องให้สิทธิ์กับทางสหรัฐและญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ส่วนนโยบายด้านพลังงานก็อาจจะหันไปใช้ทางกลุ่ม BRICS (หากมี) ที่มีราคาถูกกว่า เพื่อรักษาความเป็นกลางและผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
ในขณะที่การทหารควรเน้นไปที่ การร่วมซ้อมรบทั้งสหรัฐและจีน เพื่อแสดงจุดยืนความเป็นกลางทางการทหารไว้ และทำให้รู้เขา รู้เรา เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า ซึ่งเราอาจจะไม่สามารถรักษาจุดยืนความเป็นกลางเอาไว้ได้