ถอดรหัส “พีรธัช” กับปฏิบัตการปั้นบิ๊กอีเวนท์
ถอดรหัส “พีรธัช” กับปฏิบัตการปั้นบิ๊กอีเวนท์ “อะเมซซิ่งมวยไทยแชมป์เปี้ยน”ใบเบิกทางสู่สังเวียนธุรกิจระลอกใหม่ ที่กล้าและบ้าบิ่น!
สัปดาห์ที่ผ่านมา หากใครแวะเวียนผ่านย่านช้อปปิ้งใจกลางกรุงทพฯอย่าง “สยามพารากอน” คงได้เห็นการจัดงาน “อะเมซิ่งมวยไทยแชมป์เปี้ยน 2018 ” บริเวณล้านสยามพารากอนอย่างแน่นอน กิจกรรมที่ บริษัท เอ เอ็ม ที 888 กรุ๊ป จำกัด และ สถาบันการพลศึกษา หมายมั่นปั้นโปรเจ็คต์การแข่งขัน “เรียลลิตี้” ค้นหาสุดยอดนักมวย เน้น เตะ ต่อย ด้วย “ท่าทางแม่ไม้มวยไทย” ที่ถูกต้องเป๊ะ!ตรงตำรับตำราการต่อสู้ของไทย และมีอดีตนักชกระดับ “พระกาฬ” ทีมชาติมาเป็นโค้ชเทรนด์การต่อสู่เต็มที่
เป้าหมายของการจัดอะเมซซิ่งมวยไทย นอกจากจะให้ผู้ชมจะได้รับทั้งความรู้ ความบันเทิง รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของศิลปะแม่ไม้มวยจริงๆ นี่นับเป็นบิ๊กโปรเจ็คต์ที่ผู้จัดต้องการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมด้านการต่อสู้ของชาติ และเผยแพร่ทักษะมวยไทยขั้นสูงให้ชาวโลกทั่วไปได้ประจักษ์
แต่อาจมีคำถาม “ผู้จัดงานคือใคร มาจากไหน??” ทำไมถึง “กล้า” ครีเอทเวทีการแข่งขันชกมวยไทยที่เห็นดาษดื่นในเวทีต่างๆ แล้วนำเสนอ “ท่าทางที่ถูกต้อง” แทน
“พีรธัช สุขพงษ์” ประธาน บริษัท เอ เอ็ม ที 888 กรุ๊ป จำกัด อาจเป็น “หน้าใหม่” ในวงการจัดอีเวนท์ แต่พื้นหลัง ไม่ไก่กา เพราะชีวิตการทำงานคลุกคลีกับแวดวงการเมืองมาก่อน ในตำแหน่งอดีต “ผู้ช่วยเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หรือ กฟก.”ทำงานในช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา พอพ้นวาระ ต้นปี 2560 ได้เข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC หุ้นร้อน! ที่กลายเป็นมหากาพย์ความขัดแย้งของทีมผู้บริหารภายในองค์กร ที่แย่งชิงอำนาจบริการกันสุดฤทธิ์
แต่ภายหลัง “พีรธัช” ได้ออกจากตำแหน่งดังกล่าว แต่ก็ไม่แผนที่จะกลับเข้าไปนั่งใน IFEC อีกครั้ง
“ผมไม่ใช่นักลงทุน เล่นหุ้น ก่อนหน้านี้ผมทำงานในตำแหน่งทางการเมือง มีวาระ ระหว่างทำงานก็อยากจัดกิจกรรมแข่งขันชกมวยไทยที่ออกท่าทางแม่ไม้มวยไทยถูกต้อง” พีรธัชฉายปูมหลังการทำงาน
จากนั้นจึงเดินหน้าศึกษาเรื่องหมัดมวยเต็มที่ วิ่งรอกหารือกูรูผู้เชี่ยวชาญมวยไทยอย่าง “ผศ.ดร.ต่อศักดิ์ แก้วจรัสวิไล” ด๊อกเตอร์มวยไทยรุ่นแรกของโลก และอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ และ พัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เพื่อเรียนรู้ “ท่าทาง” ออกหมัดต่ออกอาวุธที่มีมากถึง 600 ท่า เช่น พร้ายายแก่, ฤาษีเหิน, ขว้างจักรนารายณ์, พระพายล้มสิงขร, กาจิกไข่ ฯ
“ผมคุยกับผศ.ดร.ต่อศักดิ์ อยู่นานพอสมควร เพื่อตกผลึกเลือก 39 ท่ามาบรรจุในการ ซึ่งการเลือกท่าถือเป็นหัวใจของอีเวนท์ครั้งนี้อย่างมาก ที่ผ่านมายังส่งทีมงานไปทำวิจัย สอบถามนักศึกษาว่าคิดอย่างไรถ้าจัดอีเวนท์แข่งขันชกมวย ทำให้พบโจทย์ใหญ่ว่าคนเหล่านั้นไม่ต้องการประมือกับนักมวยตามค่าย เพราะกระดูกคนละเบอร์ การออกท่าออกหมัดไม่ได้ตามตำรา สวนทางกับนักศึกษาร่ำเรียนมาอีกแบบ”
เมื่อเห็นว่าหนุ่มๆไม่มี “เวที” โชว์ศักยภาพและความสามารถ จึงลุยต่อหารือกับอธิการบดีสถาบันการพลศึกษาถึงท่าทางการชกมวยที่ถูกต้อง และเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมี “สังเวียน” การชกและอนุรักษ์แม่ไม้มวยไทยจริงๆ รวมถึงสร้างกฎกติกาการชกขึ้นมาใหม่ ภายใต้โจทย์การนำเสนออีเวนท์ให้ดูคนต้องร้อง Wow!ผ่านรูปแบบรายการเรียลลิตี้โชว์มาสร้างสีสัน
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจสร้างสรรค์อีเวนท์โปรเจ็คต์ใหญ่ ไม่ง่าย แถมใช้งบลงทุนหลัก “สิบล้านบาท” ความเป็น “มือใหม่” ทำให้มีอุปสรรคดักอยู่ด้านหน้า โดยเฉพาะการเดินสายหาผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น จึงงัดกลยุทธ์การทำตลาด สร้างการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness)ทั้งชื่อองค์กร(Corporate Brand) และกิจกรรม “อะเมซซิ่งมวยไทยแชมป์เปี้ยน”
การจัดแข่งขันนั้นมีขึ้นที่จังหวัดชลบุรี แต่แบรนด์บริษัทและกิจกรรมต้องรู้จักในวงกว้าง(Mass) ทำให้ต้องจัดแคมป์มวยหน้าลานสยามพารากอน เป็นทำเลทองยุทธศาสตร์(Strategic location) เพื่อให้เตะตาผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติที่หมุนเวียนเข้ามาเดินช้อป ชิม ชิลที่ศูนย์การค้ามากกว่า “แสนคน” ต่อวัน ปั่นกระแสการแชะภาพแล้วแชร์อีเวนท์ต่อบนโลกออนไลน์ และปากต่อปากแบบ Buzz Marketing รวมถึงจัดให้มีการถ่ายทอดสอเรียลลิตี้โชว์ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เพราะมีเครือข่ายไทยทีวีโกลบอลเน็ทเวิร์ค(TGN)ให้รับชมได้ใน 150 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังเพิ่ม “แม่เหล็ก”ด้วยการดึงนักชกระดับชาติ ได้แก่ สมรักษ์ คำสิงห์, เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, ขาวผ่อง สิทธิชูชัย มาเป็นโค้ชให้ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีม เพราะคนเหล่านี้มีฐานแฟนคลับระดับหนึ่ง จึงเป็นการ “เรียกกระแส” จากติ่งนักชกได้อีกทาง
“สิ่งที่เราพยายามสร้างตั้งแต่ต้นคือ Build brand เล่นกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค ดึงคนมาสมัครแข่งขัน งัดการประชาสัมพันธ์มาช่วย และเลือกทำเลใจกลางกรุงจัดกิจกรรม ให้คนได้สัมผัสอีเวนท์ให้เข้าใจว่าเราทำอะไรกระแสความเป็นไทยมาแรง แต่การนำเสนอกิจกรรมการอนุรักษ์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้สปอนเซอร์เข้าใจ เป็นเรื่องยากพอสมควร จึงต้องวางกลยุทธ์มาเป็นหมัดน็อคสร้างความเชื่อมั่น”
ปั้นแบรนด์องค์กรตีคู่อีเวนท์ไม่พอ ยุคนี้ต้องสร้าง “Personal Brand” หรือตัวตนของคนจัดงานให้โดดเด่นด้วย เพราะจะเห็นได้ว่าบรรดานักจัดอีเวนท์มือถือทั้งหลายที่เรียกตัวองเป็น เจ้าพ่อ นักครีเอทีฟมือทอง สารพัดสมญานาม ล้วนใช้ชื่อชั้นตัวเองเป็นจุดขายแทบทั้งสิ้น
“ผมต้องการสร้างตัวเองให้เป็นแบรนด์ด้วย เพื่อทำให้ตลาดรับรู้ว่าคนนี้ทำอีเวนท์ประเภทนี้” ฃ
นี่เป็นเพียงสเต็ปแรก หมากรุกถัดไปคือการ ดึงอีเวนท์ไปจัดในต่างประเทศ รวมถึงการนำเด็กนักชกไปโกอินเตอร์ด้วยกัน โดยเล็งประเทศเป้าหมายไว้ เช่น รัสเซีย เป็นต้น แน่นอนว่าทำโปรเจ็คต์ใหญ่ทั้งที จึงวางแผนระยะยาวลุย “อะเมซซิ่งมวยไทยแชมป์เปี้ยน” ติดต่อกัน 5 ปี
อีเวนท์อนุรักษ์มวยไทย เป็นแค่ใบเบิกทางให้ “พีรธัช” แจ้งเกิดในวงการนักคิดนักสร้างสรรค์งาน เพราะเป้าหมายใหญ่ เขาต้องการสานต่อจัดอีเวนท์เชิงอนุรักษ์ที่เป็นงาน “ระดับชาติ” ทุกประเภท จะกระทรวงทบวงกรมไหน จะท่องเที่ยว หรือวัฒนธรรม หน่วยงานใด พร้อมเข้าไปขายไอเดีย เพื่อทำให้งานเท่ และเพิ่มคุณค่า(Value)ให้กับองค์กรเหล่านั้น
“ผมต้องการคิดต่างเพื่อสร้างมูลค่า นี่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานครั้งนี้”
เชื่อว่าคำบอกเล่าจากปาก “พีรธัช” จะทำให้ทุกคนรู้จักนักจัดอีเวนท์หน้าใหม่ ที่ใจถึง!คนนี้มากขึ้น