Talent Mobility Fair 2017
Talent Mobility Fair 2017 เวทีเชื่อมโยงระหว่างบุคลากรวิจัยภาครัฐกับโจทย์วิจัยและนวัตกรรมของภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดงาน Talent Mobility Fair 2017 ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 ณห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับเกียรติจาก
นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นประธานกล่าวเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง“บทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนากำลังคนสู่Thailand 4.0” โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ประกอบการจากภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม อาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษา นักวิจัยและนักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มากกว่า 400 คนเพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการ Talent Mobility หรือ“โครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน” ให้มีความก้าวหน้าซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาค
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปนายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยที่มาของโครงการ Talent
Mobility ว่า บุคลากรวิจัยในประเทศไทย กว่าร้อยละ 70ปฏิบัติงานอยู่ในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนนักวิจัยในภาคเอกชนอย่างเร่งด่วนและเป็นการส่งเสริมเชื่อมโยงระหว่างภาคอุดมศึกษาและภาคอุตสาหกรรม(University-Industry Linkages) อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีการดำเนินการ
“โครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน” หรือ “Talent Mobility” ขึ้น
เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรวิจัยของภาครัฐเข้าไปช่วยปฏิบัติงานและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคเอกชนซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่มีประโยชน์ต่อประชาชนและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในระยะยาวทั้งนี้ โครงการ Talent Mobility ได้มีการสร้างระบบ ClearingHouseขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงบุคลากรของภาครัฐให้ไปช่วยภาคเอกชนได้อย่างเป็นรูปธรรมซึ่งปัจจุบันได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)กระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการกว่า 21มหาวิทยาลัย ทั่วประเทศ ปัจจุบันโครงการ Talent Mobilityไม่เพียงแต่มีการร่วมดำเนินการกับทาง สกอ.เท่านั้นแต่ยังมีการดำเนินโครงการร่วมกับโปรแกรม ITAP ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.)และฝ่ายอุตสาหกรรม ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นๆ รวม 8 แห่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาปัจจุบันมีบุคลากรที่เคลื่อนย้ายไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนภายใต้โครงการ Talent Mobility แล้ว จำนวน 993 คน แบ่งเป็นนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจำนวน 466 คนนักวิจัยจากสถาบันวิจัยของรัฐจำนวน 83 คน และผู้ช่วยนักวิจัยจำนวน444 คน (นักศึกษา ป.เอก 51 คน ป.โท 101 คน ป.ตรี 292 คน)
มีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน 292 บริษัท จาก 366 โครงการโดยเป็นบริษัท SME กว่า 90% (263 แห่ง) และจากโครงการทั้งหมดนี้พบว่าอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการมากที่สุดคืออุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร คิดเป็น 37% ของโครงการทั้งหมดและเป็นกิจกรรมการวิจัยและพัฒนามากถึง 61%สำหรับสิ่งที่กระทรวงวิทย์ฯ จะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคตคือการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติที่ประกอบไปด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1.การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
2.การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ประเด็นทางสังคม
3.การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การสร้างองค์ความรู้พื้นฐานของประเทศ และ 4.การสร้างบุคลากร พัฒนาระบบนิเวศและเครือข่ายการวิจัยและนวัตกรรมที่เข้มแข็ง
“นอกจากนี้ กระทรวงวิทย์ฯยังเป็นหน่วยงานหลักที่จัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม 20 ปี
ของประเทศ โดยครอบคลุมถึงยุทธศาสตร์การวิจัย การพัฒนากำลังคนด้านงบประมาณ และด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่างๆเพื่อปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเราคิดว่าการปรับปรุงระบบวิจัยใหม่ในครั้งนี้จะช่วยกำหนดทิศทางงานวิจัยของประเทศให้เป็นแบบ Demand-drivenมากขึ้นและเป็นการเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยของภาคเอกชนทั้งยังสนับสนุนการทำงานแบบ Public Private Partnership (PPP)อีกด้วย” นายพรชัยฯ กล่าวด้าน ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า การจัดงาน TalentMobility Fair 2017 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้นักวิจัย และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมหรือ วทน. จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคเอกชนหรือที่รู้จักกันในชื่อนโยบาย “Talent Mobility” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18
กุมภาพันธ์ 2558โดยได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทน.ประสานหน่วงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบาย Talent Mobilityให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินนโยบายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศ 20 ปีและรองรับการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 อีกทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน นักวิจัยมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยภาครัฐ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการได้รับทราบถึงกลไกการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายบุคลากร วทน.จากสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานในภาคเอกชน ตามนโยบายของรัฐบาลรวมถึงนำเสนอตัวอย่างผลงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ เพื่อแสดงศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของบุคลากรวทน. ของภาครัฐตลอดจนสร้างเวทีให้ผู้ประกอบการได้พบปะหารือกับนักวิจัย มหาวิทยาลัย
รวมถึงหน่วยงานวิจัยเพื่อจับคู่ความร่วมมือ และทำงานร่วมกันดร.กิติพงค์ฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การจัดงานงาน Talent MobilityFair 2017 ในครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงให้ภาคเอกชนสามารถพบกับบุคลากรวิจัยที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพเป็นเวทีให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามา จับคู่หานักวิจัยที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือภาคเอกชนโดยภายในงานได้รับเกียรติจากผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพรชัย ตระกูลวรานนท์กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“บทบาทของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนากำลังคนสู่Thailand 4.0” นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมากประสบการณ์จากภาคเอกชนมาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประโยชน์ของระบบการสนับสนุนจากภาครัฐและร่วมเสวนาในหัวข้อ“การเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมของภาคเอกชนด้วยระบบสนับสนุนจากภาครัฐ”พร้อมทั้งกิจกรรมในภาคบ่าย
ประกอบด้วยการเสวนาในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของภาคเอกชน
นักวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานวิจัยภาครัฐ ใน 2 หัวข้อ ได้แก่
1.เรื่อง“รูปแบบการสนับสนุนและบริการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม”โดยวิทยากรจากหน่วยงานภาครัฐที่มีบริการในการสนับสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน
2. เรื่อง “Build up SMEsเพิ่มขีดความสามารถด้านวิจัยและนวัตกรรม (R&I) รองรับDisruptive Change” โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งในเวทีเสวนาประกอบด้วยวิทยากรผู้มีประสบการณ์ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนที่จะมาให้มุมมองเกี่ยวกับทิศทางและแนวทางการพัฒนาSMEs ในประเทศไทยนอกจากนี้ยังจัดให้มีการจัดแสดงนิทรรศการจากมหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์อำนวยความสะดวกและหน่วยงานร่วมดำเนินการ Talent Mobility กว่า 20 แห่งซึ่งภายในบูธนิทรรศการนอกจากมีการแสดงตัวอย่างผลงานที่พัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนแล้วยังมีกิจกรรมการจับคู่ความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการและนักวิจัยที่ต้องการไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนโดยความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมฯ ร่วมดำเนินการกับ สวทน.ตั้งแต่การประกาศรับโจทย์จากสถานประกอบการนำส่งโจทย์ที่ได้รับไปยังมหาวิทยาลัยเครือข่าย
รวมถึงประสานงานเพื่อนัดหมายให้นักวิจัยและสถานประกอบการได้มาพบปะ และพูดคุยกันเบื้องต้นก่อนที่จะพัฒนาความร่วมมือในรูปแบบต่างๆต่อไปในอนาคตและภายในงานยังมีโซนนิทรรศการของหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมของภาคเอกชนกว่า 12 แห่งรวมถึงการแสดงผลงานของภาคเอกชนที่มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพของสถานประกอบการและเป็นสถานประกอบการที่ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตร Next GenInnovator ที่จัดโดย สวทน. ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมฯ จำนวน 15 แห่ง“ขอเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานจากภาคเอกชนสมัครเข้าร่วมกิจกรรมโดยสามารถฝากข้อมูลความต้องการนักวิจัยไว้ได้ที่บริเวณ MatchingCenter ในโซน University-industry linkagesโดยทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้รวบรวมโจทย์ความต้องการของท่านแล้วเชื่อมโยงโจทย์ดังกล่าวไปที่ศูนย์อำนวยความสะดวกTalent Mobility ต่อไปและสำหรับนักวิจัยก็ขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามากรอกข้อมูลความเชี่ยวชาญได้ที่ Matching Centerเพื่อแจ้งความประสงค์ในการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ได้เช่นเดียวกัน”ดร.กิติพงค์ฯ กล่าว….